หน้า  1   2   3   4   5

-4-

อ่านหน้าต่อไ

 
 
   

          2.3  ป่าเหล่าหรือป่าไสใหม่ ( scrub forest  ) เป็นป่าดงดิบหรือป่าผลัดใบที่มีการทำไม้ออกมามากเกินไป จนขาดหรือเหลือแต่ไม้ที่โปรยเมล็ดหรือรักษาสมดุลย์ตามธรรมชาติของป่านั้นๆ ให้คงอยู่ได้น้อยมาก ต้นไม้ที่เหลือมักมีลักษณะทรามหรือเป็นไม้ที่ไม่พึงประสงค์ของคนมากนัก อาจอยู่ในช่วงที่ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการผลัดเปลี่ยนให้พรรณไม้จากที่อื่นเข้ามา ฉะนั้นพรรณไม้โดยมากจะเป็นพรรณพืชเบิกนำที่ทนต่อความแห้งแล้ง ทนไฟ ทิ้งใบง่ายเมื่อมีความจำเป็นอาจมีทั้งเมล็ดดกและมีหน่อจากเหง้าช่วย หรือมีเปลือกหนา อุ้มน้ำ กิ่งก้านอาจเป็นหนามฯลฯ เช่น ไผ่ชนิดต่างๆ สะแก กระโดน ส้าน แดง ประดู่ มะพอก หว้า ข่อย ถ่อน ตะแบก เป็นต้น  ป่าชนิดนี้ง่ายต่อการไปสู่เป็นป่าหญ้ามาก หากถูกทำลายซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง
          2.4  ป่าหญ้า (
 savannah forest  )  เป็นป่าที่เกิดภายหลังจากที่ป่าธรรมชาติอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกทำลายไปหมด ดินมีสภาพเสื่อมโทรมจนไม้ต้นไม่อาจขึ้นหรือเจริญงอกงามต่อไปได้ พวกหญ้าต่างๆ จึงขึ้นมาแทนที่ จะพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของไทย หญ้าที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็น หญ้าคา แฝก หญ้าพง อ้อ แขม เป็นต้น ไม้ต้นจะมีขึ้นกระจายห่างๆ กันบ้าง  เช่น กระโดน กระถินป่า สีเสียดแก่น ประดู่  ติ้ว-แต้ ตานเหลือง ไม้เหล่านี้ทนแล้งและทนไฟป่าได้ดีมาก

   
ป่าเหล่าหรือป่าไสใหม่ ป่าหญ้า

          ความหลากหลายของพรรณพืชข้ามเขต ประเทศไทยแม้จะอยู่ในเขตร้อน เพราะตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 5 องศา 37 ลิปดา ถึง 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ แต่มีพรรณพืชข้ามถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรณไม้จากเขตอบอุ่น กระจายเข้ามาอยู่มากกว่า 200 ชนิด ( Shimizu, 1981-1984) และจากการศึกษาทบทวนของเอนโด (ยุคเทอร์เทียรี, 1963) ปรากฎว่าพบซากดึกดำบรรพ์ (fossil) ของไม้ยืนต้นเขตอบอุ่นในท้องที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน 4 ชนิดด้วยกัน ในสกุล Sequiao Taxodium, Alnus  และ  Carpinus ทั้ง 4 สกุลในปัจจุบันยังขึ้นแพร่หลายในเขตอบอุ่น  สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันมีเพียงสกุล Alnus (  Alnus nepalensis  D.Don - สร้อยสมเด็จ) และสกุล  Carpinus ( Carpinus vimania  Wall.ex Lindl. - ก่อสร้อย) เท่านั้นที่ยังพบขึ้นอยู่ พรรณพืชข้ามถิ่นที่พบขึ้นตามธรรมชาติในป่าประเทศไทย ย่อมถือเป็นทรัพยากรของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งไม้ต้น ไม้ล้มลุก และไม้เถา
          ความหลากหลายของพรรณพืชเขตร้อนรวมทั้งพืชเขตอบอุ่นที่แพร่เข้ามาขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในประเทศไทย พอจะแยกเป็นกลุ่มกว้างๆ ได้ดังนี้
          1.  กลุ่มพวกผักกูดหรือเฟิร์น (
ferns)  ในกลุ่มนี้ทำการทบทวนหรือศึกษาวิจัยและพิมพ์ออกเผยแพร่เรียบร้อยแล้ว (1979 - 1989) ด้วยความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจาก ศ. ดร.Motozi Tagawa และ ศ.ดร. Kunio Iwatsuki  จากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ทราบว่าประเทศไทยมีผักกูดหรือเฟิร์นขึ้นอยู่ตามธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 637 ชนิด (ชนิดเพิ่มใหม่ 4 ชนิด) จากพรรณพืชรวม 34 วงศ์ และ 132 สกุล ในจำนวนดังกล่าวเป็นพรรณไม้ต้นแบบ ( type specimens) 25 ชนิด ซึ่งเป็นพืชถิ่นเดียว ( endemic ) ถึง 21 ชนิด คือ  Selaginella lindhardii  Hieron , Crepeomanes megistostomum  (Copel) Copel , Cleilanthes delicatula Tag.Et Iwatsuki , Pteris phuluangensis Tag.et Iwatsuki ,  Asplenium siamense Tag.et Iwatsuki , Elaphoglossum dumrongii Tag.Iwatsuki ,  Lomagramma grossoserrata  Holttum . Polystichum attenuatum Tag.et Iwatsuki , Ctenitis dumrongii Tag.et Iwatsuki , Heterogonium hennipmanii Tag.et Iwatsuki ,  Tectaria gymnosora  Holttum ,  Thelypteris siamensis Tag.et Iwatsuki , Diplazium siamense  C.Chr ;  Pyrrosia heteractis  ( Mett.Ex Kuhn) Ching var.minor (C.Chr.) Ching , Lepisorus hirsutus Tag.et Iwatsuki ,  Arthromeris phuluangensis Tag et Iwatsuki , Polypodium garrettii  C.H.Wright ,  Hymenasplenium inthanonense  N.Murak et J.Yokoy ,  และ Xyphopteriskhaoluangensis Tag et Iwatsuki  ส่วนที่เหลืออีก 4 ชนิด มีปรากฎตามประเทศอื่นๆ ด้วย คือ  Selaginella ostenfeldii  Hieron ,  S.siamense  Hieron , S.amblyphylla  Aiston , และ Platycerium hottomii  Jonch.& Hennipman  ส่วนชนิดเพิ่มใหม่ ( new records)  อีก 4 ชนิด มี เขากวาง  Platycerium ridleyi  H.Christ , กูดหางนกยูง  Lindsaea tenera  Dry ;  เฟิร์นแผง  Selaginella ciliaris  ( Retz) Spring  และ เฟิร์นโอกินาวา Pteris ryukuensis Tag.