ต้นไม้ในตำนานคริสตศาสนาและบทกวี


next >>

 



ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมใดก็ตาม ต้นไม้มักแสดงบทบาทสำคัญในเชิงสัญลักษณ์อยู่ด้วยเสมอ รากไม้ที่ยึดติดแผ่นดินไว้อย่างมั่นคง หยั่งลึกลงสู่ผืนพิภพปกคลุมทั่วปฐพี ลำต้นตั้งตรงตระหง่านอยู่บนโลกแห่งมนุษยชาติ ขณะที่ยอดไม้กิ่งใบแผ่ไกลจนสุดเอื้อม ต้นไม้นั้นให้ทั้งชีวิต ให้ทั้งภักษาหาร และให้การอารักขาแก่มวลมนุษย์ ต้นไม้ผลัดใบทุกๆ ปี เป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน ความอุดมสมบูรณ์ และภาวะอันสมบูรณ์ทั่วดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน ต้นมะกอกก็คือสายใยอันเกี่ยวโยงถึงกำเนิดแห่งชนชาวถิ่นผู้ได้อาศัย ชนถิ่นซึ่งเชิดชูมะกอกให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ของกำนัลจากพระผู้เป็นเจ้า ควรค่าแก่การถนอมบูชาและปกป้อง และด้วยเหตุนี้ สิ่งสูงค่าอย่างเช่น คทาของกษัตริย์จึงทำด้วยไม้มะกอก นอกจากนี้ น้ำมันมะกอกยังนำมาใช้ในการประกอบพิธีเถลิงอำนาจของกษัตริย์ และการบวชพระอีกด้วย  

เรื่องราวในตำนานมีว่า อดัม ขณะที่ใกล้จะสิ้นลมปราณ จิตประหวัดถึงคำพูดของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ประทานน้ำมันแห่งความเมตตาแก่ตน เพื่อเป็นการไถ่บาปให้แก่ตนและมวลมนุษย์ เขาจึงบอกแก่เซทผู้เป็นบุตรชายให้ไปอ้อนวอนต่อทูตสวรรค์เทวดาผู้อารักษ์ขุนเขาแห่งนี้ ณ ที่ซึ่งมีสวนอีเดนอยู่ด้วย ดังนั้น ทูตสวรรค์จึงนำเอาเมล็ดพืชจำนวนสามเมล็ดให้แก่เซท เมล็ดพืชนี้ได้จากต้นไม้แห่งปัญญา คือปัญญารู้ดีรู้ชั่ว และบอกแก่เซทว่า ให้นำเมล็ดเหล่านี้ไปใส่ไว้ในปากของอดัมทันทีที่อดัมเสียชีวิต และเมื่ออดัมถูกฝังที่เขาเทเบอร์ เมล็ดทั้งสามก็กลายเป็นต้นกล้า แตกรากแตกสาขา กลายเป็นต้นมะกอก ต้นซีตาร์ และสนไซเปรส และต้นไม้ทั้งสามนี้ก็กลายเป็นต้นไม้ประจำถิ่นของเมดิเตอร์เรเนียน
          เมื่อสมัยหกพันปีก่อนนั้น ชาวอียิปต์โบราณบูชาเทพธิดาไอซิสเป็นที่ยิ่ง เทพธิดาซึ่งเป็นพระชายาแห่งเทพโอซิริส (เทพเจ้าชั้นสูงสุดในตำนานอิยิปต์โบราณ) เป็นเทพธิดาผู้ประสิทธ์ประสาทความรู้ในการเพาะปลูกมะกอก และการใช้ประโยชน์จากมะกอกแก่หมู่มนุษย์
          ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า พัลลาส เอเธนนา เทพธิดาแห่งสันติภาพและปัญญา ซึ่งจุติขึ้นอย่างปาฏิหาริย์จากหน้าผากของเทพเจ้าซีอุส หลังจากที่ผู้เป็นบิดากลืนเมทิสซึ่งกำลังตั้งครรภ์เข้าไป และการจุติของเทพธิดาเอเธนนาก็เพื่อจะให้แหล่งน้ำอันชุ่มฉ่ำแก่ต้นมะกอกนั่นเอง เมื่อกษัตริย์ซีครอปได้ก่อตั้งดินแดนเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง Attica เมื่อ 1700 ปีก่อนคริสตกาล เมืองซึ่งราษฎรต้องการจะปักหลัก เพราะร่อนเร่ไร้แหล่งที่อยู่มานาน เทพธิดาเอเธนนาและเทพเจ้าโพไซดอนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น เพราะต่างก็ต้องการจะเป็นผู้ประทานชื่อให้กับเมืองแห่งนี้ หมู่เทวดาจึงเห็นพ้องกันว่า จะมอบภาระอันศักดิ์สิทธิ์นี้ให้แก่คู่แข่งขันที่จะสามารถเนรมิตสิ่งที่มีคุณประโยชน์มากที่สุด โพไซดอนจึงใช้ฉมวกสามง่ามซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวทะลวงสู่พื้นดิน จนเกิดเป็นม้าอาชาไนยที่มีคุณลักษณะอันดีเลิศ กล่าวคือ " มีความงดงาม ปราดเปรียว มีพละกำลังมาก สามารถชักจูงรถลากคันหนักและสามารถรบชนะศึกได้อย่างองอาจ "  ส่วนเทพธิดาเอเธนนานั้นได้เนรมิตให้เกิดต้นมะกอก ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้คือ " สามารถให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ใช้บรรเทาอาการจากบาดแผล ใช้เป็นอาหารอันล้ำเลิศ เป็นเอกทั้งในรสชาติและให้พละกำลัง " ผู้คนชาวบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าต้นมะกอกให้คุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แก่มวลมนุษย์ จึงยกให้เอเธนนาเป็นเทพธิดาผู้คุ้มครองแว่นแคว้นแห่งนี้ และตั้งชื่อกรุงเอเธนส์ ตามชื่อของเธอ  ต้นมะกอกซึ่งแตกหน่อชูช่อในอโครโปลิส ซึ่งเป็นเมืองบริวารของกรุงเอเธนส์นั้นมีกำแพงปิดล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง และบริเวณกำแพงเมืองนี้ถือเป็นภาระอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบผู้กล้าในการปกป้องคุ้มกัน เมื่อใดที่ข้าศึกเข้ามาประชิดเมือง ประชาชนจะเช้าไปซ่อนตัวในกำแพงเมืองใกล้ๆ ต้นมะกอกจนกระทั่งปลอดภัย ต่อมาในระหว่างสงครามมีเดียน ภายหลังจากที่เซอร์เซสบุกเผาทำลายเมืองอโครโปลิสและต้นมะกอกอันศักดิ์สิทธิ์จนเสียหาย ชาวเอเธนส์ได้หวนกลับมายังเมืองเอเธนส์ของตนอีกครั้งเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่าที่ถูกทำลายไป แต่กลับพบว่าต้นมะกอกซึ่งเทพธิดาเคยปลูกไว้นั้น บัดนี้ได้แตกรากแตกกอใหม่ ฟื้นชีวิตขึ้นอีกครั้ง สมกับที่ได้รับการเชิดชูเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ