สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่
             Klong Phai Botanical Garden   
 

Lythraceae




















 


อินทนิลน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.
วงศ์ :  Lythraceae
ชื่อสามัญ :  Queen's crape myrtle , Pride of India
ชื่ออื่น : 
ฉ่วงมู, ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะแบกดำ (กรุงเทพมหานคร); บางอบะซา (มลายู-ยะลา, นราธิวาส); บาเย, บาเอ (มลายู-ปัตตานี); อินทนิล, อินทนิลน้ำ (ภาคกลาง, ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ แต่ผลิใบใหม่ไว สูง 5-20 เมตร ลำต้นต้นเล็กมักคดงอ แต่พอใหญ่ขึ้นจะเปลา ตรง โคนต้นไม้ไม่ค่อยพบพูพอน มักจะมีกิ่งใหญ่แตกจากลำต้นสูงเหนือพื้นดินขึ้นมาไม่มากนัก ดังนั้น เรือนยอดจึงแผ่กว้าง พุ่มแบบรูปร่มและคลุมส่วนโคนต้นเล็กน้อยเท่านั้น ต้นอินทนิลน้ำที่พบตามธรรมชาติในป่าทั่วๆ ไป จะมีเรือนยอดคลุมลำต้นประมาณเก้าในสิบส่วนของความสูงทั้งหมด ผิวเปลือกนอกสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน และมักจะมีรอยด่างเป็นดวงสีขาวๆ ทั่วไป ผิวของเปลือกค่อนข้างเรียบ ไม่แตกเป็นร่องหรือเป็นรอยแผลเป็น  เปลือกหนาประมาณ 1 ซม.  เปลือกในออกสีม่วง  ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ทรงใบรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก  กว้าง 5-10 ซม. ยาว 11-26 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา เกลี้ยง เป็นมันทั้งสองด้าน โคนใบมนหรือเบี้ยวเยื้องกันเล็กน้อย ปลายใบเรียวและเป็นติ่งแหลม เส้นแขนงใบ มี 9-17 คู่ เส้นโค้งอ่อนและจะจรดกับเส้นถัดไปบริเวณใกล้ๆ ขอบใบเส้นใบย่อยเห็นไม่เด่นชัดนัก ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นบ้างเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. เกลี้ยง ไม่มีขน ดอก โต มีสีต่างๆ กัน เช่น สีม่วงสด ม่วงอมชมพู หรือม่วงล้วนๆ ออกรวมกันเป็นช่อโต  ยาวถึง 30 ซม. ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบตอนใกล้ๆ ปลายกิ่ง ตรงส่วนบนสุดของดอกตูมจะมีตุ่มกลมเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง ผิวนอกของกลีบฐานดอกซึ่งติดกันเป็นรูปถ้วยหรือรูปกรวยหงายจะมีสันนูนตามยาวปรากฎชัด และมีขนสั้นปกคลุมประปราย กลีบดอกบาง รูปช้อนที่มีโคนกลีบเป็นก้านเรียว ผิวกลีบเป็นคลื่นๆ บ้างเล็กน้อย เมื่อบานเต็มที่จะมีรัศมีกว้างถึง 5 ซม. รังไข่ กลม เกลี้ยง ผล รูปไข่เกลี้ยงๆ ยาว 2-2.5 ซม.  เมื่อแก่จะแยกออกเป็น 6 เสี่ยง เผยให้เห็นเมล็ดเล็กๆ ที่มีปีกเป็นครีบบางๆ ทางด้านบน
          เริ่มผลัดใบในฤดูร้อนระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ก่อนที่ใบจะร่วงหล่นจากกิ่งจะเปลี่ยนเป็นสีแดง สีเหลืองหรือแดงปนเหลือง บางต้นทิ้งใบหมดเหลือแต่กิ่งก้าน แต่ส่วนมากตามธรรมชาติแล้ว ใบอ่อนจะเริ่มผลิออกมาใหม่ในขณะที่ใบเก่ายังร่วงไม่หมด ใบอ่อนจะผลิออกมาทดแทนระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ระยะนี้เองที่ช่อดอกเริ่มเต็มไปด้วยสีม่วงสด ดอกจะบานติดต่อกันเรื่อยไปจนถึงประมาณเดือนมิถุนายน ผลจะแก่ประมาณเดือน ตุลาคม-ธันวาคม พอแก่เต็มที่ผลจะแตกเพื่อโปรยเมล็ดไปจนถึงต้นปีถัดไป

ประโยชน์ :  ใช้ปลูกประดับ เนื้อไม้ ขณะยังสดๆ อยู่จะมีสีแดงเรื่องๆ หรือออกสีชมพูอ่อน นานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง เสี้ยนตรง เนื้อค่อนข้างละเอียดเป็นมันเลื่อม แข็งปานกลาง เหนียวและทนทาน เลื่อยไสกบตบแต่งง่าย ขัดเงาได้งาม นิยมใช้ก่อสร้างบ้านเรือน เช่น ทำกระดานพื้น ฝา ไม้มุงหลังคากระเบื้อง ต่อเรือ ทำเกวียน เครื่องเรือน ฯลฯ สรรพคุณทางสมุนไพร รากใช่เป็นยาสมานท้อง ใบ เป็นยาลดความดัน