ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก
อายุหลายปี สูง
30-90 ซม.
เหง้าใต้ดินรูปไข่มีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออกด้านข้าง
2 ด้าน
ตรงกันข้ามเนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะ
ใบ เดี่ยว
แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง
12-15 ซม.
ยาว 30-40
ซม. ดอก
ช่อ แทงออกจากเหง้า
แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก
กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล
บานครั้งละ 3-4 ดอก ผล
รูปกลมมี 3
พู
ประโยชน์ : ด้านสมุนไพร
ตำรายาไทยใช้เหง้ารักษาโรคผิวหนังผื่นคัน
โดยทำเป็นผงผสมน้ำหรือเหง้าสด ฝนทาน้ำ
มีรายงานว่าพบน้ำมันหอมระเหยและสาร
curcumin
ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อหนองได้ดี
จากการทดลองทารักษาโรคผิวหนังพุพองในเด็กพบว่าให้ผลเท่ายาปฏิชีวนะ
นอกจากนี้ยังใช้เหง้ารักษาโรคท้องอืด
ท้องเฟ้อและแผลในกระเพาะอาหาร โดยใช้ขนาด
250 มิลลิกรัม กินครั้งละ
2 เม็ด วันละ 4
ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน
ฤทธิ์แก้ท้องอืดน่าจะเกิดน้ำมันหอมระเหย
ส่วนการเพิ่มน้ำย่อยและขับน้ำดีเกิดจาก
ฤทธิ์ของ curcumin
และ p-tolylcarbinol
ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น
อาการจุกเสียดลดลง curcumin
ยังสามารถยับยั้งการเกิดก๊าซที่สร้างโดยเชื้อโรคที่ทำให้ท้องเสีย
(Escherichia coli)
แต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งเมือกในทางเดินอาหาร
จึงใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
แต่มีข้อควรระวังคือ curcumin
ในขนาดที่สูงกว่าขนาดรักษา 2 เท่า
ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ขมิ้นเป็นพืชที่ใช้แต่งสีอาหาร โดยนำเหง้า
ล้างดินให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วโขลกละเอียด
เติมน้ำแต่น้อย
เทใส่ผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำได้สีเหลืองเข้ม
ขมิ้นหลังจากบีบเอาน้ำขมิ้นออกแล้ว
ส่วนกากที่เหลือสามารถนำไปอบให้แห้งและบดให้ละเอียดจะได้ผงขมิ้น
ผงขมิ้นที่ได้นำไปร่อนผ่านตะแกรง
ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนที่เป็นผงละเอียดใช้เป็นสีอาหารได้
ส่วนที่เป็นผงละเอียดใช้เป็นสีอาหารได้
ส่วนที่หยาบสามารถสกัดสีของขมิ้นออกได้
โดยใช้น้ำมันพืช หรืออัลกอฮอล์
ซึ่งจะสามารถเก็บไว้ใช้ได้เป็นระยะเวลานาน
นิยมใช้กับ ข้าวเหนียวมูน-หน้ากุ้ง ข้าวพอง วุ้น
อาหารคาว-ข้าวหมาก ข้าวบุหรี่ แกงกาหรี่ แกงเหลือง
แกงพุงปลา และอื่น ๆ
โดยเฉพาะอาหารของภาคใต้แทบทุกชนิด
ใช้ขมิ้นแต่งสีและกลิ่น
|