| 
	
	แนวพระราชดำริเกี่ยวกับงานพัฒนาที่ดิน1. 
	การจัดการและพัฒนาที่ดิน
 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
	ทรงเริ่มงานพัฒนาประเทศของพระองค์ 
	งานจัดและพัฒนาที่ดินเป็นงานแรกๆ ที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญ 
	ด้วยทรงเห็นว่าที่ดินเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากเช่นเดียวกับเรื่องน้ำ 
	จึงได้ทรงเริ่มโครงการจัดพัฒนาที่ดินหุบกระพงตามประราชประสงค์ เมื่อปี พ.ศ.2511 
	โดยให้เกษตรกรจำนวน 120 ครอบครัวเข้าไปทำกินในพื้นที่ 10,000 ไร่ 
	มีส่วนราชการต่างๆ 
	เข้าไปช่วยเหลือราษฎรบุกเบิกที่ทำกินเพื่อพลิกผืนดินที่แห้งแล้ง 
	ขาดความอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ให้สามารถผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อีกครั้งหนึ่ง 
	จุดมุ่งหมายของการดำเนินงานระยะนั้น คือ 
	การมุ่งแก้ไขปัญหาการไม่มีพื้นที่ดินทำกินของเกษตรกรเป็นเบื้องต้น 
	ดังกพระราชดำรัสที่ว่า
 "...มีความเดือดร้อนอย่างยิ่งว่าประชาชนในเมืองไทยจะไร้ที่ดิน 
	และถ้าไร้ที่ดินแล้วก็จะทำงานเป็นทาสเขา 
	ซึ่งเราไม่ปรารถนาที่จะให้ประชาชนเป็นทาสคนอื่น 
	แต่ถ้าเราสามารถที่จะขจัดปัญหานี้ โดยเอาที่ดินจำแนกจัดสรรอย่างยุติธรรม 
	อย่างที่มีการจัดตั้งจะเรียกว่านิคมหรือเรียกว่าหมู่หรือกลุ่ม หรือสหกรณ์ก็ตาม 
	ก็จะทำให้คนที่มีชีวิตแร้นแค้น สามารถที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้..."
 พระองค์ทรงเลือกพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ทิ้งร้าง ว่างเปล่า นำมาจัดสรรให้แก่ราษฎร 
	โดยให้สิทธิ์ทำกินชั่วลูกหลาน แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ในการถือครอง 
	งานจัดพื้นที่ทำกินนี้ครองคลุมไปถึงกลุ่มชาวไทยภูเขาเพื่อหยุดยั้งลักษณะการเพาะปลูกดำรงชีพที่เป็นเหตุให้เกิดการทำลายป่าไม้ไปเป็นจำนวนมากด้วย 
	การจัดพื้นที่ดังกล่าวนั้นทรงมีหลักการว่า ต้องวางแผนการ 
	จัดให้ดีเสียตั้งแต่ต้น โยใช้แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศช่วยด้วย 
	ไม่ควรทำแผนผังที่ทำกินเป็นลักษณะตารางสี่เหลี่ยมเสมอไป 
	โดยไม่คำนึงถึงสภาพภูมิประเทศ 
	แต่ควรจัดสรรที่ทำกินตามแนวพื้นที่รับน้ำจากโครงการชลประทาน
 
	
	          
	2. การพัฒนาและอนุรักษ์ดินหลังจากงานจัดพื้นที่ทำกินในระยะแรกนั้นแล้ว 
	พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขยายขอบเขตงานพัฒนาที่ดินด้านอื่นๆ ออกไป 
	โดยเริ่มงานทางด้านวิชาการมากขึ้นอีก เช่น 
	การวิเคราะห์และการวางแผนการใช้ที่ดินเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มขีดความสามารถ 
	และให้เหมาะสมกับลักษณะสภาพดิน ทรงแนะนำให้เกษตกรทดลองใช้วิธีการต่างๆ 
	เพื่ออนุรักษ์บำรุงรักษาดิน 
	วิธีการส่วนใหญ่เป็นวิธีการตามธรรมชาติที่พยายามสร้างความสมดุลของสภาพแวดล้อมให้เกิดขึ้น 
	เช่น ให้มีการปลูกไม้ใช้สอยรวมกับการปลูกพืชไร่ 
	ซึ่งจะช่วยให้พืชไร่อาศัยร่มเงาของไม้ใช้สอย 
	และได้รับความชุ่มชื้นจากดินมากกว่าที่จะปลูกอยู่กลางแจ้งหรือการปลูกพืชบางชนิด 
	ในพื้นที่ซึ่งดินไม่ดี 
	แต่พืชดังกล่าวให้ประโยชน์ในการบำรุงดินให้ดีขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนใช้ปุ๋ยเคมี 
	พื้นที่บางแห่งซึ่งไม่เหมาะสมเลยสำหรับทำการเกษตรก็เห็นควรจะใช้ประโยชน์ทางอื่น 
	เช่น ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
 ในระยะต่อมา 
	พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้หันมาสนพระทัยงานพัฒนาที่ดินที่มีสภาพธรรมชาติและปัญหาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค 
	จึงมีพระราชดำริเกี่ยวกับงานแก้ไขปัญหาที่ดินที่เน้นเฉพาะเรื่องมากขึ้น เช่น 
	งานทดลองวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ยว 
	ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินพรุในภาคใต้และที่ดินชายฝั่งทะเล 
	รวมทั้งงานเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงและบำรุงรักษาดินที่เสื่อมโทรมพังทลายจากการชะล้างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปอีกด้วย 
	โครงการต่างๆ ในระยะหลังจึงเป็นการรวบรวมความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ 
	และนำเอาการพัฒนาหลายหลากสาขามาใช้ร่วมกัน และที่ปรากฎชัดออกมาเป็นตัวแบบที่ชัดเจนก็คือ 
	แนวคิดและตัวอย่างงานพัฒนาที่ดินในศูนย์ศึกษาการพัฒนาหลายแห่ง เช่น 
	แบบจำลองการพัฒนาพื้นที่ที่มีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์ 
	และมีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินในศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน 
	จังหวัดฉะเชิงเทรา งานศึกษาวิจัยพัฒนาพื้นที่ดินพรุในศูนย์ศึกษาพัฒนาพิกุลทอง 
	จังหวัดนราธิวาส 
	และงานพัฒนาที่ดินชายฝั่งทะเลในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน 
	จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
 อ่านหน้าต่อไป
  |